ในปีที่ผ่านมา หลังจากการโจมตีของกลุ่มต่อต้านอิสราเอล เช่น การปฏิบัติการ “Wade Sadiq 2” ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบป้องกันทางอากาศของอิสราเอล เช่น Iron Dome, David’s Sling และ Arrow ไม่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ อิสราเอลได้ขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา โดยขอให้ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD เพื่อเสริมความสามารถในการป้องกันตนเองในระดับสูงขึ้น
ระบบ THAAD (Terminal High Altitude Area Defense) ถูกพัฒนาโดยบริษัท Lockheed Martin และถูกใช้โดยกองทัพสหรัฐมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่ง THAAD มีคุณสมบัติในการป้องกันพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์จากขีปนาวุธพิสัยกลางและพิสัยสั้น ระบบนี้ประกอบไปด้วยเรดาร์ AN/TPY-2 ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายได้ในระยะทาง 1,000 กิโลเมตร และยิงขีปนาวุธที่สามารถโจมตีเป้าหมายโดยตรงด้วยความแม่นยำสูง (Hit to Kill)
ถึงแม้ว่า THAAD จะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีศักยภาพในการป้องกันการโจมตีด้วยขีปนาวุธ แต่ข้อจำกัดของมันคือการที่สามารถยิงขีปนาวุธได้เพียง 8-10 ลูกต่อครั้ง และหากมีการโจมตีด้วยขีปนาวุธหลายลูกพร้อมกัน อาจเกิดช่องว่างในการป้องกัน นอกจากนี้ ในกรณีที่ขีปนาวุธมีความเร็วและเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่อิหร่านพัฒนา ระบบ THAAD อาจไม่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อิหร่านเคยฝึกซ้อมการเผชิญหน้ากับระบบ THAAD ในปี 2020 โดยผ่านการซ้อมรบในงาน “Prophet Muhammad 14” ซึ่งบ่งชี้ว่าอิหร่านมีความพร้อมในการรับมือกับระบบนี้ รวมถึงขีปนาวุธประเภทใหม่ของอิหร่านที่มีความเร็วสูง ซึ่งยังไม่มีระบบป้องกันที่สามารถรับมือได้ในปัจจุบัน
การติดตั้งระบบ THAAD ในอิสราเอลอาจไม่เป็นตัวกำหนดที่ทำให้อิสราเอลมีความสามารถป้องกันตัวเองจากขีปนาวุธของอิหร่านได้อย่างสมบูรณ์