แปลและเรียบเรียงโดย : อันวารี
ประวัติศาสตร์อิสลามแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก ได้แก่ ช่วงการก่อร่างสร้างตัว และช่วงการจัดตั้งรัฐและการออกกฎหมาย ในช่วงการก่อร่างสร้างตัว ซึ่งเริ่มขึ้นที่เมกกะเมื่อมีการประทานโองการจากพระเจ้า ท่านศาสดาแห่งอิสลามได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้ต่อสู้กับการบูชาเจว็ดและการบูชารูปเคารพ และเผยแพร่ศาสนาอิสลามที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ในช่วงเวลานี้ ท่านและสหายของท่านต้องทนทุกข์อย่างมาก จนกระทั่งชาวมุสลิมตัดสินใจอพยพไปยังแคว้นฮับชะฮ์ (Abbysinia) ในช่วงปีต่อมา ท่านศาสดาได้เริ่มมีบทบาททางการเมืองโดยเจรจากับชาวเมืองยัษริบ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมะดีนะฮ์) และในที่สุดได้ทำสนธิสัญญาอักกะบะฮ์ที่สอง ซึ่งเป็นสนธิสัญญาเพื่อการป้องกัน
ในที่สุด ท่านศาสดาก็อพยพไปยังมะดีนะฮ์ในปีที่ 13 แห่งการประทานโองการ และได้วางรากฐานของรัฐบาลอิสลามอันยุติธรรมขึ้นที่นั่น
ช่วงการจัดตั้งรัฐและการออกกฎหมายเริ่มขึ้นเมื่อท่านศาสดามาถึงมะดีนะฮ์ ท่านได้กลายเป็นผู้นำทางการเมืองและศาสนาของชาวเมือง และด้วยความเชื่อในพลังทางสังคมและคำสอนจากพระเจ้า ท่านจึงได้ก่อตั้งรัฐขึ้น โดยทำสนธิสัญญากับชาวยิวที่อาศัยอยู่ในมะดีนะฮ์ ท่านได้สร้างชุมชนหนึ่งเดียวขึ้นมา ท่านยังได้จัดทำรัฐธรรมนูญสำหรับรัฐที่เพิ่งตั้งขึ้นมา ซึ่งในประวัติศาสตร์อิสลามเรียกว่า “ศอหิฟะฮ์”
รัฐธรรมนูญนี้มีบทบัญญัติ 46 ข้อที่กำหนดความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างชาวมุสลิมและชาวยิว ชีวิตส่วนตัว สังคม และการเมืองของท่านศาสดานั้นถือเป็นแบบอย่างที่ชาวมุสลิมควรยึดถือในการดำเนินชีวิต ทั้งในด้านศาสนาและสังคมของตนเอง
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ระบบการปกครองของเมืองมะดีนะฮ์ในขณะนั้นเป็นแบบประชาธิปไตย เผด็จการทางศาสนา หรือประชาธิปไตยทางศาสนา?
การพูดคุยเกี่ยวกับการปกครองและรูปแบบทางการเมืองอาจจะเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญและเก่าแก่ที่สุดในบรรดานักคิดด้านปรัชญาการเมือง ตั้งแต่อริสโตเติลจนถึงมองเตสกิเออร์ และนักคิดสังคมนิยมในโลกปัจจุบัน ต่างพยายามหาคำตอบว่า รัฐบาลรูปแบบใดจะนำพามนุษย์ไปสู่ความสุขร่วมกันและความยุติธรรมทางสังคมได้?
ในการตอบคำถามนี้เอง จึงมีการเสนอแนวคิดประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคมของมนุษย์
คำถามอีกประการคือ อำนาจทางการปกครองที่มาจากศาสนาจะเชื่อมโยงกับประชาธิปไตยได้อย่างไร? รัฐบาลทางศาสนาที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยศาสดาหรือผู้สืบทอดที่แท้จริง จะตอบสนองต่อความต้องการทางสังคมของมนุษย์ได้หรือไม่? หรือรัฐบาลทางศาสนาที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อมั่นในสิ่งที่แน่นอน อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของประชาธิปไตย และบางครั้งอาจเป็นการละเมิดประชาธิปไตยด้วยซ้ำ?
หรือควรกล่าวตามทฤษฎีของนักคิดบางคนเช่นมองเตสกิเออร์ ที่ว่า การปกครองในตะวันตก ซึ่งมีอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ เป็นแหล่งกำเนิดของประชาธิปไตย ขณะที่ตะวันออกเป็นแหล่งของการปกครองแบบเผด็จการ?
ความหมายของประชาธิปไตย
คำว่า “ประชาธิปไตย” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก โดย “Demos” หมายถึงประชาชน และ “Kratien” หมายถึงการปกครอง ดังนั้น ประชาธิปไตยจึงมีรากฐานจากเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการที่อำนาจการปกครองมาจากประชาชน อับราฮัม ลินคอล์น ได้ให้คำนิยามประชาธิปไตยไว้ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน”
แต่ความหมายที่แท้จริงของ “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน” คืออะไร? ประชาชนปกครองตัวเองโดยตรงหรือไม่? หรือว่ารัฐบาลที่ประชาชนพึงพอใจและไว้วางใจคือรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย?
จากประสบการณ์ทางการเมืองของรัฐบาลในยุคกรีกหรือโรมันโบราณ ซึ่งถูกเรียกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย เห็นได้ว่า การที่ประชาชนจะปกครองโดยตรงนั้นไม่เคยเกิดขึ้น และไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ในความเป็นจริง ประชาธิปไตยในความหมายทางการเมืองไม่เคยพ้นจากการเป็นเพียงแนวคิดในจิตใจของมนุษย์และไม่เคยปรากฏขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง
ในยุคปัจจุบัน รัฐบาลประชาธิปไตยคือรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของคนเพียงคนเดียวหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่นรัฐบาลอริสโตเครติก (ขุนนาง) เธโอเครติก (ผู้นำศาสนา) หรือโอลิการ์ชิก (ทหาร) ดังนั้น คำว่าประชาธิปไตยจึงมีความหมายเชิงลบเป็นหลัก
ประชาธิปไตยในบริบทของโลกสมัยใหม่
ในโลกสมัยใหม่ แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยมีการพัฒนาอย่างมากและถูกนำมาใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมืองของประเทศนั้นๆ แม้คำจำกัดความพื้นฐานของประชาธิปไตยจะหมายถึง “การปกครองโดยประชาชน” แต่รูปแบบของประชาธิปไตยในแต่ละสังคมก็อาจมีลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) ซึ่งประชาชนเลือกตัวแทนมาใช้สิทธิ์แทนพวกเขาในการออกกฎหมายและกำหนดนโยบาย หรือประชาธิปไตยโดยตรง (Direct Democracy) ซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองทุกเรื่องโดยตรง
ในหลายประเทศ ประชาธิปไตยยังเชื่อมโยงกับสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม ความยุติธรรมทางสังคม และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ในแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกัน อาจจะเป็นไปอย่างเสรีในบางประเทศ ขณะที่ในบางประเทศอาจมีข้อจำกัดอยู่ภายใต้กรอบของศาสนา วัฒนธรรม หรือประเพณี
การเชื่อมโยงระหว่างอิสลามและประชาธิปไตย
หนึ่งในคำถามที่สำคัญคือว่า หลักการของอิสลามสามารถเข้ากับแนวคิดประชาธิปไตยได้หรือไม่? มีนักวิชาการบางคนที่เชื่อว่า อิสลามและประชาธิปไตยสามารถอยู่ร่วมกันได้ เนื่องจากหลักการของอิสลามบางประการ เช่น การปรึกษาหารือ (ชูรอ) และความยุติธรรม มีความสอดคล้องกับแนวคิดของประชาธิปไตย ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือในยุคของคอลีฟะห์รอชิดีน ซึ่งมีการปรึกษาหารือกับชุมชนเพื่อกำหนดแนวทางการปกครอง
ในขณะเดียวกัน นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งกลับเห็นว่า อิสลามมีระบบการปกครองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเน้นการปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าและหลักการชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) มากกว่าการปกครองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน การที่รัฐอิสลามใช้กฎหมายของพระเจ้าในการปกครอง ทำให้บางคนเห็นว่าอิสลามมีแนวทางที่แตกต่างจากประชาธิปไตยตะวันตกที่เน้นการแยกศาสนากับรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการที่เสนอแนวคิด “ประชาธิปไตยทางศาสนา” (Religious Democracy) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างหลักการประชาธิปไตยและหลักการศาสนาในรูปแบบการปกครอง โดยในแนวคิดนี้ ประชาชนยังคงมีบทบาทในการเลือกผู้นำและกำหนดทิศทางของประเทศ แต่การตัดสินใจทางการเมืองและกฎหมายต้องสอดคล้องกับหลักการของศาสนาด้วย ตัวอย่างของประเทศที่ใช้แนวทางนี้คือสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ซึ่งมีการเลือกตั้งและมีตัวแทนจากประชาชน แต่กฎหมายและนโยบายยังคงยึดตามหลักการอิสลาม
ประชาธิปไตยและความท้าทายทางสังคม
แม้ประชาธิปไตยจะเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ แต่ก็ยังมีความท้าทายและปัญหาหลายอย่างในการปฏิบัติตามแนวคิดนี้อย่างสมบูรณ์ หนึ่งในปัญหาหลักคือ การกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน บางครั้งการเลือกตั้งอาจถูกครอบงำโดยกลุ่มผลประโยชน์หรือชนชั้นนำ ทำให้การแสดงออกทางการเมืองของประชาชนทั่วไปถูกจำกัด นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งอาจทำให้ประชาชนบางกลุ่มไม่มีโอกาสเข้าถึงการตัดสินใจทางการเมืองอย่างเท่าเทียม
อีกทั้งในบางประเทศที่มีความแตกต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม การสร้างความสมดุลระหว่างประชาธิปไตยและการปกครองทางศาสนาอาจเป็นเรื่องที่ยากลำบาก การรักษาความเป็นเอกภาพและการยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมภายในสังคมยังคงเป็นประเด็นที่ท้าทายในการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง
บทสรุป
ในขณะที่ประชาธิปไตยเป็นแนวคิดทางการเมืองที่มีรากฐานมาจากตะวันตก แต่ก็มีความเป็นไปได้ในการผสานแนวคิดนี้เข้ากับหลักการศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้ต้องคำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประเพณีของแต่ละสังคม การสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและเป็นธรรมในสังคมอิสลามจำเป็นต้องอาศัยการปรับตัวและการสร้างความสมดุลระหว่างหลักการศาสนาและความต้องการของประชาชน เพื่อสร้างระบบการปกครองที่ตอบสนองต่อความต้องการของทั้งสองฝ่ายอย่างยั่งยืน