อิมามอะลี (อ) กล่าวว่า: “ความโง่เขลาเป็นโรคที่รักษาไม่ได้และเป็นความเจ็บป่วยที่ไม่มีทางหายขาด” (ฆุรอรุลฮิกัม วะ ดุรอรุลกะลัม, หน้าที่ 96)
อิมามศอดิก (อ) อ้างถึงคำกล่าวของท่านศาสดาอีซาว่า: “ฉันรักษาผู้ป่วยด้วยอนุญาตจากพระเจ้า โดยสามารถรักษาคนตาบอดและโรคเรื้อนได้อย่างง่ายดาย รวมถึงทำให้ผู้ตายฟื้นคืนชีวิต แต่ฉันไม่สามารถรักษาคนโง่เขลาได้!” เมื่อถูกถามว่า “โอ้ผู้เป็นจิตวิญญาณของพระเจ้า คนโง่เขลาคือใคร?” ท่านศาสดาอีซาตอบว่า “คือคนที่เอาแต่ความคิดของตนเอง และมักจะคิดว่าตนเป็นฝ่ายถูกเสมอ ไม่ยอมรับความจริงจากใคร คนเช่นนี้ไม่มีทางรักษาได้” (หนังสืออิคติซอส, หน้าที่ 221)
เมาลาวี กวีชาวเปอร์เซียได้นำเรื่องราวนี้มาร้อยกรองใน มัสนาวี เล่มที่ 3 เขากล่าวว่า:
พระเยซูวิ่งหนีขึ้นภูเขา ราวกับเสือที่ล่าเหยื่อ
ต้องการคร่าชีวิตของเขา
ชายคนหนึ่งวิ่งตามไปพร้อมตะโกน
ไม่มีใครตามล่าท่าน
ทำไมจึงวิ่งหนีเหมือนนกที่บินหนี?”
พระเยซูตอบว่า “ฉันหนีจากคนโง่เขลา
อย่ามาเป็นภาระของฉันอีกเลย”
ชายคนนั้นแย้งว่า “ท่านคือพระเยซูผู้รักษาคนตาบอด
และคนหูหนวกมิใช่หรือ?”
พระเยซูตอบว่า “ใช่แล้ว ฉันสามารถรักษาผู้ป่วยด้วย
พระนามของพระเจ้า
แต่เมื่อฉันพยายามรักษาคนโง่เขลาด้วยคาถามากมาย
ความโง่เขลานั้นไม่เคยบรรเทาลง”
บทกวีนี้สื่อถึงการที่ความโง่เขลานั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเยียวยาได้ ซึ่งถือเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะความโง่เขลาไม่เพียงแต่จะทำลายตัวเอง ยังดึงผู้อื่นให้จมไปด้วย ดังที่มอลาวีกล่าวว่า “จงหนีจากคนโง่เขลาเหมือนที่พระเยซูหนี เพราะความโง่เขลานั้นสามารถทำลายทุกสิ่งได้อย่างเลือดเย็น”