-ความยุติธรรมและหลักธรรมาภิบาลของท่านอิมามอะลี(อ)-
ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวถึงความยุติธรรมของอิมามอะลีว่า…
“มือของข้าและมือของอะลี เหมือนกันในความเป็นธรรมและความยุติธรรม และผู้ที่รักษาสัญญาดีที่สุด และผู้ที่มีความทรงธรรมและยุติธรรมที่สุดของพวกท่านในเรื่องการแบ่งทรัพสิน และสิทธิของประชาชน ณ องค์อัลลอฮคือท่านอะลี”(อิมามอะลี บิน อะบีฎอลิบ หน้า ๔๙๒)
ในวันแรกของการปกครองท่านอิมามอะลี ท่านได้ขึ้นมิมบัรปราศรัย ด้วยการสรรเสริญและสดุดีต่อองค์อัลลอฮ แล้วกล่าวว่า…”ขอสาบานต่ออัลลอฮ ตราบเท่าที่ฉันยังมีต้นอินทผาลัมอยู่ แม้เพียงต้นเดียว ฉันก็จะไม่หยิบเอาเงินส่วนกลางมาใช้เด็ดขาด พวกท่านจงคิดให้ดีเถิด ว่าเมื่อฉันไม่คิดที่จะเอาเงินกองกลางมาแบ่งปันให้กับตัวของฉันเลย แล้วฉันจะแบ่งปันให้กับพวกท่านได้อย่างไร? “
อะกีลได้ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า…” ท่านจะปฎิบัติต่อเราเหมือนกับชาวผิวดำที่อาศัยอยู่ในมะดีนะฮกระนั้นหรือ?”
อิมาม “จงนั่งลงก่อนโอ้พี่ชาย ไม่มีใครอีกแล้วใช่ใหมที่พูดเหมือนกับเจ้า เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่า ผู้ที่มีเกียรติกว่าและประเสริฐกว่ากัน คือคนที่มีความยำเกรง และอีหม่านเท่านั้น”
อิมามอะลีได้กล่าวถึงผลร้ายของการกดขี่และการฉ้อฉลไว้ในคุฎบะฮที่ ๒๑๕ว่า…
“ขอสาบานต่อองค์อัลลอฮ ถ้าหากยามค่ำคืนฉันได้ตื่นขึ้นมา ในสภาพที่ มือ เท้า และคอของฉันถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ฉันก็รู้สึกรักมันมากกว่า และรู้สึกสบายใจกว่าการที่ฉันได้พบกับองค์อัลลอฮและศาสนทูตของพระองค์ในวันกิยามะฮในสภาพที่ ฉันได้กดขี่และฉ้อฉลหรือขโมยทรัพย์สินของประชาชน จะให้ฉันทำการกดขี่ผู้อื่นได้อย่างไร ในเมื่อฉันจะต้องรีบเดินทางไปสู่พระองค์และกลับคืนสู่พระองค์ได้ทุกเวลา ความหนุ่มจะเปลี่ยนเป็นความชรา ความแข็งแรงจะแปลเปลี่ยนเป็นความอ่อนแอลง และจะอยู่ในดินอันยาวนาน(เมื่อถูกนำไปฝัง)”
ที่ดินทั้งหลาย ซึ่งกอ่นหน้านั้นคอลีฟะฮอุษมานได้ให้แก่เครือญาติ อิมามอะลีได้คืนให้กับบรรดามุสลิมแล้วกล่าวว่า..
..”ขอสาบานต่ออัลลอฮ ถ้าสิ่งใดที่อุษมานได้ยึดครองเอาไปจากพวกท่าน ฉันจะคืนกลับให้กับเจ้าของ และแม้กระทั้งที่สามีได้มอบให้กับภรรยา หรือได้ซื้อทาสมา(ฉันก็จะคืนให้กับพวกท่าน) เพราะว่าความยุติธรรม และความเป็นธรรมนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่กว้างขวาง และใครก็ตามที่ไม่สามารถจะสร้างความเป็นธรรมหรือความยุติธรรม ดังนั้นนับภาษาอะไรที่เขาจะหลีกห่างจากการกดขี่และการการฉ้อฉลไปได้”
และหนึ่งจากคุฎบะฮของทานอิมามอะลี ได้กล่าวไว้ว่า…
“โอ้ประชาชน จงรู้เถิดว่า แท้จริงมนุษย์ทุกคนไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นทาส แต่มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพและอิสรภาพ ไม่มีความแตกต่างระหว่างคนผิวขาวหรือคนผิวแดง” ในขณะนั้นมัรวานได้หันไปยังตอลฮะฮ และซุบัยต์ กล่าวว่า “ เป้าหมายจากคำพูดขออะลี คือเจ้าทั้งสอง” และต่อมาท่านอิมามอะลีได้แจกเงินจากบัยตุลมาลแก่มุสลลิมคนละ สามดีนาร และในขณะที่ท่านได้แจกเงินอยู่นั้น มีชาวอันศอรคนหนึ่งได้รับไปสามดีนาร ทำให้ชายชาวอันศอรอีกคนได้คัดค้านแล้วกล่าวว่า “โอ้อะลี เด็กผู้นี้เมื่อวานฉันได้ปล่อยให้เขาเป็นอิสระแล้ว(ไม่เป็นทาสอีกต่อไป) ท่านจะให้ส่วนแบ่งแก่ฉันเท่ากับเด็กน้อยผู้นั้นหรือ?” อิมามกล่าวว่า…” ฉันได้อ่านคัมภีร์ ซึ่งไม่มีสักบทหนึ่งที่กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างลูกหลานของอิสมาอีลและลูกหลานของอิสฮาก”(อัลวาฟี เล่ม ๓ หน้า ๒๐)
คืนหนึ่งท่านอิมามอะลีได้ยุ่งอยู่กับการตรวจบัญชีทรัพย์สินกองคลังเงินบัยตุลมาล ทันใดนั้น ตอลฮะฮและซุบัยต์ได้เข้ามา และข้างหน้าอิมามอะลีมีไฟอยู่ดวงหนึ่ง แต่ไม่เปิด และอีกดวงได้เปิดอยู่ จนทำให้คนทั้งสองรู้สึกแปลกใจ ได้ถามอิมามว่า “ทำไมท่านได้ทำเช่นนั้น(ปิดดวงไฟที่อยู่ข้างหน้าแล้วเหลือไว้แค่หนึ่งดวง)?”
อิมามกล่าวว่า…”เพราะว่าเชื้อเพลิงและน้ำมันในตะเกียงนั้น มาจากเงินกองกลาง(บัยตุลมาล) และฉันไม่เห็นว่าสมควรจะเปิดไฟเลยในการสนทนากับเจ้าทั้งสอง โดยการนำทรัพย์สินของกองกลางมาใช้”(อัลอิมาม อะลี บินอะบีฎอลิบ หน้า ๕๐๐)
เซาดะฮ บุตรของอัมมาเราะฮ ฮะมาดานี หลังจากที่ท่านอิมามอะลีได้เสียชีวิต ได้ไปฟ้องร้องกับมุอาวียะฮ ซึ่งมุอาวียะฮรู้จักเธอดี ในตอนสงครามซิฟฟีน ผู้หญิงคนนี้ได้เป็นแนวร่วมของฝ่ายอิมามอะลี และเธอยังได้ปลุกระดมประชาชนให้ต่อต้านเขา(มุอาวียะฮ) เธอได้เริ่มด้วยการกล่าวประณามต่อมุอาวียะฮว่า “เจ้าลืมไปแล้วกระนั้นหรือในสงครามซิฟฟีน เจ้าได้ต่อต้านฝ่ายกองกำลังของท่านอะลี” ซียาดได้กล่าวว่า ..”เป้าหมายที่พูดมาคืออะไร?”
เสาดะฮกล่าวว่า..” องค์อัลลอฮ ทรงมอบสิทธิต่างๆแก่มนุษย์ ซึ่งพระองค์ทรงคำนึงถึงสิทธินั้น พระองค์จะเอาคืนจากเจ้าแน่ ใครก็ตามที่เป็นผู้ปกครองต่อเรา ได้รับแต่งจากเจ้า ถือเป็นการกดขี่และอธรรมยิ่ง และพวกเขาได้ใช้อำนาจบังคับต่างๆนานาต่อเรา ได้ยึดทรัพย์สินเงินทองของพวกเราไป ถ้าเจ้าไม่ไปจัดการในเรื่องนี้ให้กับเรา พวกเราจะลุกขึ้นต่อต้านเจ้า
มุอาวียะฮกล่าวว่า..”เจ้าจะขู่ข้ากระนั้นหรือ? ข้าจะสั่งให้ทหารนำเจ้าขึ้นบนหลังอูฐ ไปไว้สถานที่เลวร้ายที่สุด และขังเจ้าไว้ จนกว่าพวกเขาจะพอใจแล้วจะนำเจ้ากลับมา”
เซาดะฮได้ถึงกับคอตก แล้วเงยหน้าขึ้นกล่าวต่อว่า…” ขอสรรเสริญต่อองค์อัลลอฮต่อดวงวิญญาณผู้บริสุทธิ์ ผู้ซึ้งได้เสียชีวิตไป แต่ความดีของเขายังคงตราตรึงในหัวใจของข้า เขาคือผู้อยู่กับคำมั่นสัญญา อยู่กับความถูกต้องเสมอ เขาไม่เคยแลกความถูกต้องกับสิ่งใดเลย ความสัจจะและความถูกต้องและพลังอีหม่านของเขารวมอยู่ในตัวของเขาตลอดมา”
มุอาวียะฮกล่าวว่า “เป้าหมายของเจ้าคือใคร?”
เสาดะฮกล่าวว่า…” เขาผู้นั้นคื อท่านอะลี บินอะบีฎอลิบ ฉันเคยรับใช้เขา และฉันเคยได้ฟ้องร้องในเรื่องเงินซากาตกับเขา ซึ่งในขณะที่ฉันไปถึง เขากำลังนมาซ แต่เมื่อเขานมาซเสร็จเห็นฉันมา เขารีบเข้ามาหาฉัน พลางกล่าวด้วยความอบอุ่นและเมตตาว่า “ทานมีปัญหาอะไรกระนั้นหรือ ที่จะให้ฉันช่วยเหลือ?”
ฉันกล่าวว่า .”ใช่ ฉันมีเรื่องจะฟ้องร้องกับท่าน”
ฉันได้เห็นน้ำตาของท่านได้ใหลออกมา แล้วกล่าวว่า…
“โอ้อัลลอฮ พระองค์เป็นพยานต่อข้าด้วยเถิดและต่อประชาชน แท้จริงข้าฯไม่เคยกล่าวสอนต่อประชาชนให้ฉ้อฉลหรือกดขี่ผู้ใดเลยในสิทธิต่างๆของเขา”
ท่านอิมามอะลีได้หยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วเขียนว่า “เจ้าคือสักขีพยาน ต่อองค์อัลลอฮ เพื่อที่จะให้เจ้าทำการค้าที่ถูกต้องและสมบูรณ์ เจ้าอย่าได้ยึดทรัพย์สินหรือคดโกงทรัพย์ของประชาชนอย่างเด็ดขาด อย่าได้สร้างความเสียหายบนพื้นดินหลังจากที่ได้ถูกบูรณะและฟื้นฟูขึ้นแล้ว หลังจากที่เจ้าได้อ่านจดหมายของข้าแล้ว ทรัพย์สินที่ได้สั่งให้เจ้ารวบรวมไว้ จงเก็บรักษามันไว้ จนกระทั้ง เขาจะมารับคืนจากเจ้า “
จดหมายนั้นฉันยังจำมันได้ ขอสาบาน ท่านอะลีไม่เคยกล่าวตะกอกหรือดุว่าร้ายต่อข้า และฉันก็ได้นำทรัพย์สินนั้นให้กับชายผู้นั้น แล้วเขาก็จากไป”
เมื่อมุอาวียะฮได้ยินเรื่องที่นางเซาดะฮเล่าให้ฟัง กล่าวว่า “ ทุกสิ่งที่เธอต้องการและเรียกร้อง จดบันทึกไว้ แล้วคืนให้กับเธอไป และนำเธอกลับบ้านด้วยความปลอดภัย”(สะฟีนะตุลบิฮาร เล่ม ๑ หน้า ๖๗๑)