ความจำเป็นในการจัดตั้งครอบครัวในมุมมองอิสลาม

In ครอบครัว

ถ้าเราบอกว่ามนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นไปให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์  แน่นอนว่าบันไดขั้นแรกที่จะปีนขึ้นไปคือ การจัดตั้งครอบครัว

สภาพของครอบครัวที่วางอยู่บนพื้นฐานของอิสลามต้องประกอบไปด้วย  ความสงบสุข  ทั้งร่างกายและจิตใจต้องอยู่กันอย่าง  ร่วมคิด ร่วมทำ อย่างบริสุทธ์  เป็นกันเอง เห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน  บุคคลสองคนเมื่อร่วมมือกันเป็นหนึ่งแล้วจะทำให้มีพลังแข็งแกร่งขึ้น

มนุษย์ต้องปกป้องรักษาตนเองให้พ้นจากอารมณ์ใฝ่ต่ำและความเลวทรามต่างๆการสนองต่ออารมณ์ทางเพศจะต้องไปถูกดึงไปในทางเสื่อมเสีย  และต้องรักษาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง

ทั้งสตรีและบุรุษถูกสร้างมาในสภาวะที่มีความต้องการและดึงดูดซึ่งกันและกัน  ตลอดอายุขัยของพวกเขามีความต้องการที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอด  โดยไม่มีเหตุปัจจัยอะไรที่จะสามารถมาแยกพวกเขาทั้งสอง

ความไพบูลย์พูนสุขของสตรีและบุรุษก็คือจะต้องไม่ออกนอกกรอบของแบบฉบับในการสรรค์สร้างของพระผู้เป็นเจ้า  จะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังดึงดูดที่ฉาบฉวยไม่ถาวร ต้องแสวงหาพลังดึงดูดที่จะทำให้เขาทั้งสองนั้นปรารถนาที่จะอยู่เคียงคู่กัน และสามารถสร้างความกลมเกลียวทั้งชีวิตจิตใจ 

ทั้งสตรีและบุรุษต่างแสวงหาผลพวงจากการมีอยู่ของตนเอง สิ่งนั้นคือความภูมิใจในการได้เป็นแม่เป็นพ่อ รับหน้าที่ในการอบรมมนุษย์ให้สมบูรณ์ให้มีคุณธรรมและคุณค่า โดยอาศัยแนวทาง การยำเกรงและนอบน้อมถ่อมตนเข้ามาช่วยเหลือ

บุตรสร้างเอกภาพให้กับพ่อและแม่ได้ ทั้งสตรีและบุรุษจะต้องรู้ว่าด้วยกับการสมรสทำให้ทั้งคู่มีวิญญาณด้วยกัน บางทียีนหรือพันธุกรรมของทั้งบิดา  มารดา จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด หรือซ่อนเร้นอยู่ในตัวของบุรุษ แต่อย่างไรก็ตามบุตรก็ได้มาจากส่วนผสมของพันธุกรรมที่มาทั้งสองนั้นแหละ มันได้ฝังอยู่ในตัวเขา ไม่มีนอกเหนือจากนี้

พลังดึงดูดที่ฝังลึกอยู่ในตัวทั้งภรรยาและสามีจะปกปักรักษาให้เขาทั้งสองรอดพ้นภยันตรายจากการทะเลาะเบาะแว้ง การแยกกันอยู่ หรือแม้จะห่างกันแต่ก็จะยิ่งทำให้เขามีความรักสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อถึงวันเวลาหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ วันแห่งกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์  (ซบ.) มีอันต้องแยกออกจากกัน แต่ความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณยังคงอยู่ การสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไปก็คงกระทบกับความรู้สึกของเขาอย่างมากมายแต่เขายังสามารถที่จะเจริญเติบโต พัฒนา และแสวงหาความรู้ต่อไปได้

ซัยยิด รอฎี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์และได้รวบรวมสุนทโรวาทของอิมามอะลี(อ.)ท่านกำพร้าบิดาตั้งแต่เยาว์วัย แต่มารดาของท่านอบรมเลี้ยงดูท่าน  และซัยยิดมุรตะฎอ พี่ชายของท่านเพียงลำพัง จนเติบโตมาเป็นผู้รู้แห่งยุคสมัยของตน ท่านจึงแต่งบทรำพันไว้ตอนหนึ่งว่า “ หากแม่ทั้งหลายดีเหมือนท่านแม่ ลูกทั้งหลายจะไปมีความต้องการพ่อเลย ”

อิมามฮุเซน(อ.) นายแห่งบรรดาชุฮะดา ผู้นำแห่งมวลมุสลิมเป็นแบบอย่างของมนุษยชาติ ท่านให้ความสำคัญและความรักกับครอบครัวอย่างมาก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ของมนุษย์ ได้กล่าวว่า “ ขอสาบาน ฉันรักบ้านที่มีสะกีนะฮ์ลูกสาวของฉัน และรุบาบ ภรรยาของฉันอยู่ในนั้น ฉันรักพวกเขา และพร้อมที่จะให้ทรัพย์สินของฉันแก่พวกเขา ไม่มีใครที่จะสามารถที่จะตำหนิฉันได้ในเรื่องนี้ ”

สิ่งเหล่านี้เป็นความปรารถนาของมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย หากสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกสนองตอบ ก็จะไม่ได้รับความไพบูลย์พูลสุข หากใครก็ตามสนองตอบความต้องการเหล่านี้บนพื้นฐานของอิสลาม ถือว่าเป็นการก้าวเดินที่สำคัญที่จะนำไปสู่ความสมบูรณ์ หากสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกสนองตอบการดำรงอยู่ในศาสนาก็จะเป็นเรื่องยากลำบาก มนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นจะต้องดำรงตนอยู่ในกรอบของศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย และต้องไม่กระทำในสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาต

ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) เห็นถึงบทบาทสำคัญของครอบครัวในการดำรงอยู่ของศาสนา ท่านได้กล่าวว่า “ ใครก็ตามที่ได้สมรสเท่ากับ ได้รักษาศาสนาของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง และต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ์(ซบ.) เพื่อรักษาศาสนาอีกครึ่งหนึ่งไว้ ”

บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวจะต้องไม่ประพฤติตัวออกนอกแนวทางของศาสนา ต้องพยายามที่จะต้องหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก หรูหรา ฟุ่มเฟือย ในการจัดตั้งครอบครัวตามพื้นฐานอิสลามให้ได้ 

ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “ ไม่มีโครงสร้างใดในอิสลามจะเป็นที่รักยิ่งยังอัลลอฮ์(ซบ.) มากไปกว่าการสมรส ” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 82) 

การสมรส คือ โครงของความรัก หากวางอยู่บนพื้นฐานของอิสลาม จะไม่มีวันอ่อนล้า หรือ สลายไปดังที่นักกวีกล่าวว่า “ย่อมมลายทุกโครงสร้างที่เราเห็น แต่โครงสร้างของความรักนั้นยกเว้น ”

การเป็นโสดถือเป็นเรื่องบกพร่องสำหรับมนุษย์ การสมรสถือเป็นความสมบูรณ์ มิใช่ด้วยกับการสมรสหรอกหรือ ที่จะทำให้มนุษย์มีภาพลักษณ์ที่ดีในทุกๆด้าน เช่น ความเคร่งครัดในศาสนา  การสมรสในทัศนะของอิสลาม มิใช่เป็นสิ่งที่รักยิ่งสำหรับอัลลอฮ์(ซบ.)หรอกหรือ?

ในทัศนะของศาสดา(ศ็อลฯ) คือ คนตายที่เลวที่สุด คือ ผู้ตายในสภาพที่เป็นโสด พวกเขาส่วนมากจะถูกลงโทษด้วยไฟนรก คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นโสด (ตรงกันข้ามกับ) ผู้ที่ได้นมาซสองรอกะอัตในสภาพของผู้ที่ได้สมรสแล้ว  ย่อมประเสริฐกว่า ผู้ที่ได้ทำนมาซและถือศีลอดทั้งวันทั้งคืนในสภาพที่เป็นโสด (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 86)

ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ได้เชิญชวนให้ประชาชาติได้ทำการสมรสเพื่อจะได้มีลูกหลานสืบทอด การมีบุตรมิได้ยังประโยชน์เฉพาะโลกนี้เท่านั้น แต่จะยังประโยชน์สำหรับปรโลกด้วย

ทารกที่แท้งจะยืนอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์ด้วยใบหน้าที่เศร้าโศกและกล่าวว่า “ตราบใดที่บิดามารดาของฉันยังไม่ได้เข้าไปฉันก็จะไม่เข้า” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 82-83)    

สิ่งเดียวเท่านั้นที่คอยขัดขวางการสมรสของเยาวชนหนุ่มสาว ก็คือการไม่มีทรัพย์สินเงินทองหรือรายได้ เป็นจำนวนมากต้องเปลี่ยนใจและยับยั้งตนเองจากการสมรสเมื่อเจออุปสรรคนี้ แต่ก็มิได้ไปทำบาปอะไร แต่บางคนนอกจากยังไม่ได้สมรสแล้ว ยังทำบาปอีกด้วย

เราต้องเข้าใจว่า บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ตั้งมาตรฐานความหวังไว้สูง จึงยังไม่สามารถสมรสได้ หากพวกเขาลดมาตรฐานความหรูหรา ฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นลงได้ ก็ไม่มีอะไรมาขวางทางพวกเขาได้ ก็ยิ่งสามารถที่จะสร้างครอบครัวได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งจะทำให้พวกเขา ออกห่างจากผลเสีย และความหายนะจากการครองโสด ได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย ยิ่งจะทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ ความจำเริญอย่างมากมายจากการมีคู่ครองและการมีครอบครัว

แต่หากยังมีอุปสรรคขวางกั้นเยาวชนหนุ่มสาวอยู่อีก จนไม่สามารถทำการสมรสได้ พวกเขาก็มีหน้าที่ต้องรักษาความบริสุทธิ์ และรักนวลสงวนตัวเอาไว้ และมิควรที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเลวทราม และฝ่าฝืนศาสนบัญญัติ

จากเงื่อนไขและปัญหาสังคมในปัจจุบัน เป็นเหตุทำให้การสมรสล่าช้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากเยาวชนต้องเรียนหนังสือสาขาใดสาขาหนึ่ง จะสายสามัญ หรือ อาชีวะก็ตาม จนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ และต้องเข้าเป็นทหารเกณฑ์อีกสองปี เพื่อฝึกและเรียนรู้เรื่องอาวุธ จะได้มีส่วนร่วมในการปกป้องประเทศ

จากอุปสรรคเหล่านี้ แม้จะทำให้การสมรสของบรรดาหนุ่มสาวต้องล่าช้าออกไป แต่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวได้รับความสำเร็จ และได้รับใช้สังคม ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง

 สำหรับบรรดาเยาวชนหนุ่มสาว การศึกษา และการรับใช้สังคมก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับการเรียนแพทย์ และพยาบาล ก็ถือเป็นสิ่งที่สังคมมีความต้องการอย่างมาก 

การรักษาไว้ซึ่งสังคมของสตรีในการแสวงหาความรู้ดีที่สุดก็คือ พนักงาน หรือ เจ้าหน้าที่การศึกษาทั้งหมดควรเป็นสตรีล้วน และควรหลีกเลี่ยงการปะปนกันของเยาวชนหนุ่มสาว

หากเป็นไปได้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ควรที่จะดำเนินนโยบายเช่นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เงื่อนไขและองค์ประกอบในปัจจุบัน ยังไม่สามารถที่จะดำเนินนโยบายเช่นนี้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องเข้มงวดเรื่องการแต่งกาย และคลุมฮิญาบให้ถูกต้อง ตามหลักการศาสนา เพราะยังเป็นสังคมที่อยู่รวมกันทั้งบุรุษและสตรี อย่างไรก็ตาม เยาวชนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย มีความรอบรู้และมาตรฐานความคิดที่สูง ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะสมรส โอกาสที่จะทำในสิ่งเลวทรามยังน้อย

ในอดีตไม่ค่อยประสบปัญหาเช่นนี้ บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวสามารถแต่งงานตั้งแต่บรรลุศาสนภาวะ เนื่องจากยังไม่มีความเจริญด้านความรู้ และอุตสาหกรรม มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และออกมารับใช้สังคม รับหน้าที่การงานต่างๆ แต่ในปัจจุบัน ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า ต้องใช้เวลาเรียนรู้ยาวนานกว่าจะออกมาทำหน้าที่รับใช้สังคมได้

ในอดีตใช้เวลาอันสั้นในการเรียนรู้ แต่ทำงานรับหน้าที่ในระยะเวลายาวนาน แต่ในปัจจุบันใช้เวลาเรียนรู้ยาวนานแต่ทำงานรับผิดชอบหน้าที่ในระยะเวลาที่สั้นลง และต้องอยู่ในภาวะเกษียณจากงาน

ด้วยเหตุตังกล่าวทำให้เยาวชนหนุ่มสาวต้องสมรสล่าช้า และล่วงเลยช่วงวัยเวลาแห่งความหวานชื่นไป คงสภาพความโสดเอาไว้

ดังในอัลกุรอานมีโองการเช่นนี้ว่า “ และบรรดาผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้แต่งงานก็จงให้เขาข่มความใคร่ จนกว่าอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขารำรวยขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ ”(ซูเราะฮ์อันนูร โองการที่ 33)

สภาพสังคมที่บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเลวทราม นั้นมีผลอย่างมากที่จะทำให้บรรดาเยาวชนหนุ่มสาว ยังคงอยู่ในความบริสุทธิ์ และรักนวลสงวนตัว

หากเยาวชนหนุ่มสาวรู้จักยับยั้งชั่งใจ และมั่นคงกับการรักนวลสงวนตัว จะช่วยพวกเขาได้มากในช่วงที่รอความพร้อมจนกว่าจะได้สมรส

ลักษณะเช่นนี้เยาวชนหนุ่มสาวจะต้องไม่มองเพศตรงข้าม ด้วยสายตาที่แฝงด้วยอารมณ์ ควรที่จะทำการถือศีลอด ออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์สังคม จะได้ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ใฝ่ต่ำ และการยั่วยุของชัยฏอนมารร้าย 

พระผู้เป็นเจ้าย่อมช่วยเหลือพวกเขาอย่างแน่นอน ที่จะให้ผ่านพ้นอุปสรรคไป บิดา มารดา และผู้ปกครองทั้งหลายควรที่จะตระเตรียมปัจจัยทั้งหลายให้กับบุตร โดยควรละเว้นการจัดงานอย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย สังคมเองก็ต้องให้ความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน จะได้ไม่ทำให้เยาวชนหนุ่มสาว ตกอยู่ในการบีบคั้นของสังคม

ระบบธนาคารก็ควรที่จะปล่อยเงินกู้ให้กับเยาวชนหนุ่มสาว ตั้งแต่อยู่ในระดับอุดมศึกษา เพื่อใช้ในการสมรส หรือมูลนิธิองค์กรอิสระต่างๆก็ควรที่จะให้การชี้นำเยาวชนในการสร้างครอบครัว

หากเราต้องการสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์ปราศจากการปรุงแต่ง และไม่ดึงบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวไปสู่ความโสมม เราจะต้องทุ่มเทในทุกๆด้าน ทั้งวัตถุ และจิตวิญญาณ ดังที่โองการอัลกุรอ่านกล่าวสนับสนุนไว้ว่า “ จงให้พวกเจ้าแต่งงานกับผู้ที่เป็นโสดในหมู่พวกเจ้า และจากคนดีๆจากบวงบ่าวผู้ชายของพวกเจ้า และบ่าวผู้ชายของพวกเจ้า หากพวกเขายากจน อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาร่ำรวย ขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ ”( อันนูร : 32)

อิมามศอดิก(อ.) กล่าวว่า “ใครก็ตามที่ทำการสมรสให้กับคนโสด เท่ากับเขาเป็นคนหนึ่งที่อัลลอฮ์(ซบ.) จะทรงมองเขาด้วยความเมตตา” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 111)

อิมามอะลี(อ.) กล่าวว่า “การอนุเคราะห์ที่ประเสริฐที่สุดก็คือ การช่วยเหลือให้คนทั้งสองได้สมรสกัน จนกระทั่งอัลลอฮ์(ซบ.) ได้รวมทั้งสองเข้าด้วยกัน” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 169)

หากมนุษย์ยอมรับในเอกภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งเหตุการณ์ทั้งหมด และอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ จากคำสั่งเสียของอัลกุรอาน และฮะดีษเป็นจำนวนมากที่สนับสนุนส่งเสริมให้จัดการสมรสแก่บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวที่โสดทั้งหลาย โดยพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นเกี่ยวกับปัจจัยทางวัตถุ และมอบหมาย มุ่งหวังจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ดังที่ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “ ใครก็ตามปรารถนาที่จะพบกับอัลลอฮ์(ซบ.)ในสภาพที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาจะต้องสมรส และใครก็ตามละทิ้งการสมรสเนื่องจากกลัวความลำบาก เท่ากับเขาดูหมิ่นต่ออัลลอฮ์(ซบ.)” 

ในตัวตนของมนุษย์มีศักยภาพและพลังที่จะนำออกมาใช้งาน อีกทั้งยังนำมาแก้ไขปัญหาต่างๆได้ คู่สมรสทั้งสามีภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามหลักศาสนา เป็นพลังที่เพิ่มขึ้นไปอีก เป็นคู่คิด คู่กระทำ ช่วยเหลือกัน ต่อการเผชิญกับอุปสรรค และแก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตคู่ของเขาให้เป็นไปอย่างราบรื่น

หากมนุษย์มีความหวัง และยึดเหนี่ยวต่ออัลลอฮ์(ซบ.)  ว่าพระองค์คือผู้ที่จะชี้นำ ช่วยเหลือเขาออกจากความคับแค้น และทุกข์ระทมต่างๆ เขาจะค้นพบความสามารถของตนเอง  ด้วยกับความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่สมรสแล้วก็เหมือนผู้ที่ประสบความสำเร็จและเป็นผู้พิชิตแล้ว สิ่งที่จะทำให้สังคม และจริยธรรมเสื่อมเสีย คือการสมรสที่ล่าช้า และการครองโสด การดึงให้คุณค่าของสตรีลงมาต่ำ ทั้งๆ ที่อิสลามได้ยกย่องคุณค่าของสตรีไว้สูง  ดังที่อิมามศอดิก(อ.) กล่าวว่า “ ความดีส่วนมากอยู่ในสตรี”                (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 93)

ยิ่งประชาชนเห็นคุณค่าต่อการสมรสที่วางอยู่บนพื้นฐานของอิสลามสูงมากเท่าไร อิสลามก็ยิ่งมีคุณค่า หากเยาวชนหนุ่มสาวมีทัศนะว่า การสมรสเป็นเรื่องยาก เหมือนชั้นที่สูงต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเอื้อมหยิบฉวยแล้ว เราก็คงรอวาระสุดท้ายของสังคมได้เลย

ในสังคมที่ใช้ชีวิตโสดแทนการมีชีวิตคู่อย่างถูกต้อง ก็รังแต่จะมีศูนย์กลางแห่งอบายมุข และความเลวทรามต่างๆ ครอบครัวก็รังแต่จะแตกแยกขัดแย้งกัน บรรดาเยาวชนก็ไม่สามารถถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีได้

เป็นที่กระจ่างสำหรับสิ่งต่างๆเหล่านี้เปรียบเสมือนสายโซ่ที่คล้องเกี่ยวเชื่อมโยงกัน คุณค่าของการสมรสคือการยกฐานะของสตรีในสังคม การอบรมบุตรหลานที่ถูกต้องตามหลักการศาสนา การทำให้สถาบันครอบครัวมั่นคง การทำให้ชีวิตคู่มีความสุขสงบ ล้วนเป็นความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานให้ 

อิสลามเป็นสังคมหนึ่งที่ยอมรับสิ่งต่างๆที่กล่าวมาว่า มันสามารถเป็นรูปธรรมได้ ดังนั้นปรัชญาของชีวิตคู่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญของศาสนา จึงเชิญชวนให้ประชาชนได้ถือปฏิบัติ เพื่อจะได้เกิดความจำเริญในชีวิต

เป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมที่ส่งเสริมเรื่องการสมรส และครองชีวิตคู่ก็ย่อมที่จะมีกฎระเบียบแบบแผนมากมาย จึงจะทำให้บรรดาเยาวชนอยู่ในสภาวะของผู้ที่สะอาด และบริสุทธิ์ โดยปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นคู่นั่นเอง  

  

 

You may also read!

ความรู้ที่แท้จริง

รายงานจากท่านอิมามมูซากาซิมว่า เมื่อท่านศาสนทูตเดินเข้ามัสยิดเห็นคนกำลังนั่งล้อมชายคนหนึ่งอยู่ ท่านศาสนทูตถามพวกเขาว่า เกิดอะไรขึ้นหรือ พวกเขากล่าวตอบว่า ชายคนนี้คือ อัลลามะฮ์ ท่านศาสนทูตกล่าวถามว่า อัลลามะฮ์ คืออะไร ? บรรดาสาวกกล่าวตอบว่า เขาคือผู้รู้มากที่สุดในเรื่องเชื้อสายของชนชาวอาหรับ รู้ความเป็นมาของคนอาหรับในสมัยญาฮิลียะฮ์อีกทั้งรู้เรื่องบทกวีของชาวอาหรับเป็นอย่างดีด้วย ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า เหล่านี้คือศาสตร์ที่ไม่ได้ทำให้ผู้ไม่รู้เสียประโยชน์แต่อย่างใด หลังจากนั้นท่านศาสดากล่าวต่อว่า แท้จริงความรู้มีสามสิ่งด้วยกัน รู้โองการที่ชัดแจ้ง

Read More...

 อิมามอาลีกับความสมถะ

ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวกับท่านอิมามอะลีว่า (more…)

Read More...

คนมีปมด้อย

อิมาม ซอดิก (อ) กล่าวว่า ما مِنْ رَجُل تَجَبَّرَ أَؤ تَکَبَّرَ إلاّ لِذِلَّه یَجِدُها قِی نَفْسِهِ “ไม่มีคนใดที่แสดงความโอ้อวดและแสดงตนเหนือผู้อื่น นอกเสียจากว่าเขาพบปมด้อยที่มีในตัวของเขาเอง คำอธิบาย  มีผลสำรวจและคำยืนยันจากนักจิตวิทยาว่า ต้นตอของการโอ้อวดและการยกตนเหนือกว่าผู้อื่นมาจากปมด้อย  เป็นปมด้อยที่ผู้ที่ประสพกับปัญหาทางจิตนี้ต้องทนทุกข์ทรมาน  เพื่อเป็นการชดเชยและปกปิดปมด้อยของตัวเองจึงแสดงตนว่าเหนือกว่าผู้อื่นซึ่งถือเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจยิ่ง 

Read More...

Leave a reply:

Your email address will not be published.

Mobile Sliding Menu