ความจำเป็นในการจัดตั้งครอบครัวในมุมมองอิสลาม

ถ้าเราบอกว่ามนุษย์มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นไปให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์  แน่นอนว่าบันไดขั้นแรกที่จะปีนขึ้นไปคือ การจัดตั้งครอบครัว

สภาพของครอบครัวที่วางอยู่บนพื้นฐานของอิสลามต้องประกอบไปด้วย  ความสงบสุข  ทั้งร่างกายและจิตใจต้องอยู่กันอย่าง  ร่วมคิด ร่วมทำ อย่างบริสุทธ์  เป็นกันเอง เห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน  บุคคลสองคนเมื่อร่วมมือกันเป็นหนึ่งแล้วจะทำให้มีพลังแข็งแกร่งขึ้น

มนุษย์ต้องปกป้องรักษาตนเองให้พ้นจากอารมณ์ใฝ่ต่ำและความเลวทรามต่างๆการสนองต่ออารมณ์ทางเพศจะต้องไปถูกดึงไปในทางเสื่อมเสีย  และต้องรักษาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง

ทั้งสตรีและบุรุษถูกสร้างมาในสภาวะที่มีความต้องการและดึงดูดซึ่งกันและกัน  ตลอดอายุขัยของพวกเขามีความต้องการที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอด  โดยไม่มีเหตุปัจจัยอะไรที่จะสามารถมาแยกพวกเขาทั้งสอง

ความไพบูลย์พูนสุขของสตรีและบุรุษก็คือจะต้องไม่ออกนอกกรอบของแบบฉบับในการสรรค์สร้างของพระผู้เป็นเจ้า  จะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังดึงดูดที่ฉาบฉวยไม่ถาวร ต้องแสวงหาพลังดึงดูดที่จะทำให้เขาทั้งสองนั้นปรารถนาที่จะอยู่เคียงคู่กัน และสามารถสร้างความกลมเกลียวทั้งชีวิตจิตใจ 

ทั้งสตรีและบุรุษต่างแสวงหาผลพวงจากการมีอยู่ของตนเอง สิ่งนั้นคือความภูมิใจในการได้เป็นแม่เป็นพ่อ รับหน้าที่ในการอบรมมนุษย์ให้สมบูรณ์ให้มีคุณธรรมและคุณค่า โดยอาศัยแนวทาง การยำเกรงและนอบน้อมถ่อมตนเข้ามาช่วยเหลือ

บุตรสร้างเอกภาพให้กับพ่อและแม่ได้ ทั้งสตรีและบุรุษจะต้องรู้ว่าด้วยกับการสมรสทำให้ทั้งคู่มีวิญญาณด้วยกัน บางทียีนหรือพันธุกรรมของทั้งบิดา  มารดา จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด หรือซ่อนเร้นอยู่ในตัวของบุรุษ แต่อย่างไรก็ตามบุตรก็ได้มาจากส่วนผสมของพันธุกรรมที่มาทั้งสองนั้นแหละ มันได้ฝังอยู่ในตัวเขา ไม่มีนอกเหนือจากนี้

พลังดึงดูดที่ฝังลึกอยู่ในตัวทั้งภรรยาและสามีจะปกปักรักษาให้เขาทั้งสองรอดพ้นภยันตรายจากการทะเลาะเบาะแว้ง การแยกกันอยู่ หรือแม้จะห่างกันแต่ก็จะยิ่งทำให้เขามีความรักสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อถึงวันเวลาหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือ วันแห่งกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์  (ซบ.) มีอันต้องแยกออกจากกัน แต่ความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณยังคงอยู่ การสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไปก็คงกระทบกับความรู้สึกของเขาอย่างมากมายแต่เขายังสามารถที่จะเจริญเติบโต พัฒนา และแสวงหาความรู้ต่อไปได้

ซัยยิด รอฎี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์และได้รวบรวมสุนทโรวาทของอิมามอะลี(อ.)ท่านกำพร้าบิดาตั้งแต่เยาว์วัย แต่มารดาของท่านอบรมเลี้ยงดูท่าน  และซัยยิดมุรตะฎอ พี่ชายของท่านเพียงลำพัง จนเติบโตมาเป็นผู้รู้แห่งยุคสมัยของตน ท่านจึงแต่งบทรำพันไว้ตอนหนึ่งว่า “ หากแม่ทั้งหลายดีเหมือนท่านแม่ ลูกทั้งหลายจะไปมีความต้องการพ่อเลย ”

อิมามฮุเซน(อ.) นายแห่งบรรดาชุฮะดา ผู้นำแห่งมวลมุสลิมเป็นแบบอย่างของมนุษยชาติ ท่านให้ความสำคัญและความรักกับครอบครัวอย่างมาก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ของมนุษย์ ได้กล่าวว่า “ ขอสาบาน ฉันรักบ้านที่มีสะกีนะฮ์ลูกสาวของฉัน และรุบาบ ภรรยาของฉันอยู่ในนั้น ฉันรักพวกเขา และพร้อมที่จะให้ทรัพย์สินของฉันแก่พวกเขา ไม่มีใครที่จะสามารถที่จะตำหนิฉันได้ในเรื่องนี้ ”

สิ่งเหล่านี้เป็นความปรารถนาของมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย หากสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกสนองตอบ ก็จะไม่ได้รับความไพบูลย์พูลสุข หากใครก็ตามสนองตอบความต้องการเหล่านี้บนพื้นฐานของอิสลาม ถือว่าเป็นการก้าวเดินที่สำคัญที่จะนำไปสู่ความสมบูรณ์ หากสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกสนองตอบการดำรงอยู่ในศาสนาก็จะเป็นเรื่องยากลำบาก มนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นจะต้องดำรงตนอยู่ในกรอบของศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย และต้องไม่กระทำในสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาต

ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) เห็นถึงบทบาทสำคัญของครอบครัวในการดำรงอยู่ของศาสนา ท่านได้กล่าวว่า “ ใครก็ตามที่ได้สมรสเท่ากับ ได้รักษาศาสนาของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง และต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ์(ซบ.) เพื่อรักษาศาสนาอีกครึ่งหนึ่งไว้ ”

บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวจะต้องไม่ประพฤติตัวออกนอกแนวทางของศาสนา ต้องพยายามที่จะต้องหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก หรูหรา ฟุ่มเฟือย ในการจัดตั้งครอบครัวตามพื้นฐานอิสลามให้ได้ 

ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “ ไม่มีโครงสร้างใดในอิสลามจะเป็นที่รักยิ่งยังอัลลอฮ์(ซบ.) มากไปกว่าการสมรส ” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 82) 

การสมรส คือ โครงของความรัก หากวางอยู่บนพื้นฐานของอิสลาม จะไม่มีวันอ่อนล้า หรือ สลายไปดังที่นักกวีกล่าวว่า “ย่อมมลายทุกโครงสร้างที่เราเห็น แต่โครงสร้างของความรักนั้นยกเว้น ”

การเป็นโสดถือเป็นเรื่องบกพร่องสำหรับมนุษย์ การสมรสถือเป็นความสมบูรณ์ มิใช่ด้วยกับการสมรสหรอกหรือ ที่จะทำให้มนุษย์มีภาพลักษณ์ที่ดีในทุกๆด้าน เช่น ความเคร่งครัดในศาสนา  การสมรสในทัศนะของอิสลาม มิใช่เป็นสิ่งที่รักยิ่งสำหรับอัลลอฮ์(ซบ.)หรอกหรือ?

ในทัศนะของศาสดา(ศ็อลฯ) คือ คนตายที่เลวที่สุด คือ ผู้ตายในสภาพที่เป็นโสด พวกเขาส่วนมากจะถูกลงโทษด้วยไฟนรก คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นโสด (ตรงกันข้ามกับ) ผู้ที่ได้นมาซสองรอกะอัตในสภาพของผู้ที่ได้สมรสแล้ว  ย่อมประเสริฐกว่า ผู้ที่ได้ทำนมาซและถือศีลอดทั้งวันทั้งคืนในสภาพที่เป็นโสด (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 86)

ท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ได้เชิญชวนให้ประชาชาติได้ทำการสมรสเพื่อจะได้มีลูกหลานสืบทอด การมีบุตรมิได้ยังประโยชน์เฉพาะโลกนี้เท่านั้น แต่จะยังประโยชน์สำหรับปรโลกด้วย

ทารกที่แท้งจะยืนอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์ด้วยใบหน้าที่เศร้าโศกและกล่าวว่า “ตราบใดที่บิดามารดาของฉันยังไม่ได้เข้าไปฉันก็จะไม่เข้า” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 82-83)    

สิ่งเดียวเท่านั้นที่คอยขัดขวางการสมรสของเยาวชนหนุ่มสาว ก็คือการไม่มีทรัพย์สินเงินทองหรือรายได้ เป็นจำนวนมากต้องเปลี่ยนใจและยับยั้งตนเองจากการสมรสเมื่อเจออุปสรรคนี้ แต่ก็มิได้ไปทำบาปอะไร แต่บางคนนอกจากยังไม่ได้สมรสแล้ว ยังทำบาปอีกด้วย

เราต้องเข้าใจว่า บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวจำนวนมากที่ตั้งมาตรฐานความหวังไว้สูง จึงยังไม่สามารถสมรสได้ หากพวกเขาลดมาตรฐานความหรูหรา ฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นลงได้ ก็ไม่มีอะไรมาขวางทางพวกเขาได้ ก็ยิ่งสามารถที่จะสร้างครอบครัวได้เร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งจะทำให้พวกเขา ออกห่างจากผลเสีย และความหายนะจากการครองโสด ได้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย ยิ่งจะทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ ความจำเริญอย่างมากมายจากการมีคู่ครองและการมีครอบครัว

แต่หากยังมีอุปสรรคขวางกั้นเยาวชนหนุ่มสาวอยู่อีก จนไม่สามารถทำการสมรสได้ พวกเขาก็มีหน้าที่ต้องรักษาความบริสุทธิ์ และรักนวลสงวนตัวเอาไว้ และมิควรที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเลวทราม และฝ่าฝืนศาสนบัญญัติ

จากเงื่อนไขและปัญหาสังคมในปัจจุบัน เป็นเหตุทำให้การสมรสล่าช้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากเยาวชนต้องเรียนหนังสือสาขาใดสาขาหนึ่ง จะสายสามัญ หรือ อาชีวะก็ตาม จนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ และต้องเข้าเป็นทหารเกณฑ์อีกสองปี เพื่อฝึกและเรียนรู้เรื่องอาวุธ จะได้มีส่วนร่วมในการปกป้องประเทศ

จากอุปสรรคเหล่านี้ แม้จะทำให้การสมรสของบรรดาหนุ่มสาวต้องล่าช้าออกไป แต่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวได้รับความสำเร็จ และได้รับใช้สังคม ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง

 สำหรับบรรดาเยาวชนหนุ่มสาว การศึกษา และการรับใช้สังคมก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับการเรียนแพทย์ และพยาบาล ก็ถือเป็นสิ่งที่สังคมมีความต้องการอย่างมาก 

การรักษาไว้ซึ่งสังคมของสตรีในการแสวงหาความรู้ดีที่สุดก็คือ พนักงาน หรือ เจ้าหน้าที่การศึกษาทั้งหมดควรเป็นสตรีล้วน และควรหลีกเลี่ยงการปะปนกันของเยาวชนหนุ่มสาว

หากเป็นไปได้ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ควรที่จะดำเนินนโยบายเช่นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เงื่อนไขและองค์ประกอบในปัจจุบัน ยังไม่สามารถที่จะดำเนินนโยบายเช่นนี้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องเข้มงวดเรื่องการแต่งกาย และคลุมฮิญาบให้ถูกต้อง ตามหลักการศาสนา เพราะยังเป็นสังคมที่อยู่รวมกันทั้งบุรุษและสตรี อย่างไรก็ตาม เยาวชนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัย มีความรอบรู้และมาตรฐานความคิดที่สูง ก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะสมรส โอกาสที่จะทำในสิ่งเลวทรามยังน้อย

ในอดีตไม่ค่อยประสบปัญหาเช่นนี้ บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวสามารถแต่งงานตั้งแต่บรรลุศาสนภาวะ เนื่องจากยังไม่มีความเจริญด้านความรู้ และอุตสาหกรรม มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และออกมารับใช้สังคม รับหน้าที่การงานต่างๆ แต่ในปัจจุบัน ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า ต้องใช้เวลาเรียนรู้ยาวนานกว่าจะออกมาทำหน้าที่รับใช้สังคมได้

ในอดีตใช้เวลาอันสั้นในการเรียนรู้ แต่ทำงานรับหน้าที่ในระยะเวลายาวนาน แต่ในปัจจุบันใช้เวลาเรียนรู้ยาวนานแต่ทำงานรับผิดชอบหน้าที่ในระยะเวลาที่สั้นลง และต้องอยู่ในภาวะเกษียณจากงาน

ด้วยเหตุตังกล่าวทำให้เยาวชนหนุ่มสาวต้องสมรสล่าช้า และล่วงเลยช่วงวัยเวลาแห่งความหวานชื่นไป คงสภาพความโสดเอาไว้

ดังในอัลกุรอานมีโองการเช่นนี้ว่า “ และบรรดาผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้แต่งงานก็จงให้เขาข่มความใคร่ จนกว่าอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขารำรวยขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ ”(ซูเราะฮ์อันนูร โองการที่ 33)

สภาพสังคมที่บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเลวทราม นั้นมีผลอย่างมากที่จะทำให้บรรดาเยาวชนหนุ่มสาว ยังคงอยู่ในความบริสุทธิ์ และรักนวลสงวนตัว

หากเยาวชนหนุ่มสาวรู้จักยับยั้งชั่งใจ และมั่นคงกับการรักนวลสงวนตัว จะช่วยพวกเขาได้มากในช่วงที่รอความพร้อมจนกว่าจะได้สมรส

ลักษณะเช่นนี้เยาวชนหนุ่มสาวจะต้องไม่มองเพศตรงข้าม ด้วยสายตาที่แฝงด้วยอารมณ์ ควรที่จะทำการถือศีลอด ออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์สังคม จะได้ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ใฝ่ต่ำ และการยั่วยุของชัยฏอนมารร้าย 

พระผู้เป็นเจ้าย่อมช่วยเหลือพวกเขาอย่างแน่นอน ที่จะให้ผ่านพ้นอุปสรรคไป บิดา มารดา และผู้ปกครองทั้งหลายควรที่จะตระเตรียมปัจจัยทั้งหลายให้กับบุตร โดยควรละเว้นการจัดงานอย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือย สังคมเองก็ต้องให้ความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน จะได้ไม่ทำให้เยาวชนหนุ่มสาว ตกอยู่ในการบีบคั้นของสังคม

ระบบธนาคารก็ควรที่จะปล่อยเงินกู้ให้กับเยาวชนหนุ่มสาว ตั้งแต่อยู่ในระดับอุดมศึกษา เพื่อใช้ในการสมรส หรือมูลนิธิองค์กรอิสระต่างๆก็ควรที่จะให้การชี้นำเยาวชนในการสร้างครอบครัว

หากเราต้องการสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์ปราศจากการปรุงแต่ง และไม่ดึงบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวไปสู่ความโสมม เราจะต้องทุ่มเทในทุกๆด้าน ทั้งวัตถุ และจิตวิญญาณ ดังที่โองการอัลกุรอ่านกล่าวสนับสนุนไว้ว่า “ จงให้พวกเจ้าแต่งงานกับผู้ที่เป็นโสดในหมู่พวกเจ้า และจากคนดีๆจากบวงบ่าวผู้ชายของพวกเจ้า และบ่าวผู้ชายของพวกเจ้า หากพวกเขายากจน อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาร่ำรวย ขึ้นจากความโปรดปรานของพระองค์ ”( อันนูร : 32)

อิมามศอดิก(อ.) กล่าวว่า “ใครก็ตามที่ทำการสมรสให้กับคนโสด เท่ากับเขาเป็นคนหนึ่งที่อัลลอฮ์(ซบ.) จะทรงมองเขาด้วยความเมตตา” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 111)

อิมามอะลี(อ.) กล่าวว่า “การอนุเคราะห์ที่ประเสริฐที่สุดก็คือ การช่วยเหลือให้คนทั้งสองได้สมรสกัน จนกระทั่งอัลลอฮ์(ซบ.) ได้รวมทั้งสองเข้าด้วยกัน” (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 169)

หากมนุษย์ยอมรับในเอกภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งเหตุการณ์ทั้งหมด และอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ จากคำสั่งเสียของอัลกุรอาน และฮะดีษเป็นจำนวนมากที่สนับสนุนส่งเสริมให้จัดการสมรสแก่บรรดาเยาวชนหนุ่มสาวที่โสดทั้งหลาย โดยพยายามหลีกเลี่ยงประเด็นเกี่ยวกับปัจจัยทางวัตถุ และมอบหมาย มุ่งหวังจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ดังที่ศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “ ใครก็ตามปรารถนาที่จะพบกับอัลลอฮ์(ซบ.)ในสภาพที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาจะต้องสมรส และใครก็ตามละทิ้งการสมรสเนื่องจากกลัวความลำบาก เท่ากับเขาดูหมิ่นต่ออัลลอฮ์(ซบ.)” 

ในตัวตนของมนุษย์มีศักยภาพและพลังที่จะนำออกมาใช้งาน อีกทั้งยังนำมาแก้ไขปัญหาต่างๆได้ คู่สมรสทั้งสามีภรรยาที่แต่งงานถูกต้องตามหลักศาสนา เป็นพลังที่เพิ่มขึ้นไปอีก เป็นคู่คิด คู่กระทำ ช่วยเหลือกัน ต่อการเผชิญกับอุปสรรค และแก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตคู่ของเขาให้เป็นไปอย่างราบรื่น

หากมนุษย์มีความหวัง และยึดเหนี่ยวต่ออัลลอฮ์(ซบ.)  ว่าพระองค์คือผู้ที่จะชี้นำ ช่วยเหลือเขาออกจากความคับแค้น และทุกข์ระทมต่างๆ เขาจะค้นพบความสามารถของตนเอง  ด้วยกับความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่สมรสแล้วก็เหมือนผู้ที่ประสบความสำเร็จและเป็นผู้พิชิตแล้ว สิ่งที่จะทำให้สังคม และจริยธรรมเสื่อมเสีย คือการสมรสที่ล่าช้า และการครองโสด การดึงให้คุณค่าของสตรีลงมาต่ำ ทั้งๆ ที่อิสลามได้ยกย่องคุณค่าของสตรีไว้สูง  ดังที่อิมามศอดิก(อ.) กล่าวว่า “ ความดีส่วนมากอยู่ในสตรี”                (หนังสือ เราเฎาะตุลมุตตะกีน เล่ม 8 หน้า 93)

ยิ่งประชาชนเห็นคุณค่าต่อการสมรสที่วางอยู่บนพื้นฐานของอิสลามสูงมากเท่าไร อิสลามก็ยิ่งมีคุณค่า หากเยาวชนหนุ่มสาวมีทัศนะว่า การสมรสเป็นเรื่องยาก เหมือนชั้นที่สูงต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเอื้อมหยิบฉวยแล้ว เราก็คงรอวาระสุดท้ายของสังคมได้เลย

ในสังคมที่ใช้ชีวิตโสดแทนการมีชีวิตคู่อย่างถูกต้อง ก็รังแต่จะมีศูนย์กลางแห่งอบายมุข และความเลวทรามต่างๆ ครอบครัวก็รังแต่จะแตกแยกขัดแย้งกัน บรรดาเยาวชนก็ไม่สามารถถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีได้

เป็นที่กระจ่างสำหรับสิ่งต่างๆเหล่านี้เปรียบเสมือนสายโซ่ที่คล้องเกี่ยวเชื่อมโยงกัน คุณค่าของการสมรสคือการยกฐานะของสตรีในสังคม การอบรมบุตรหลานที่ถูกต้องตามหลักการศาสนา การทำให้สถาบันครอบครัวมั่นคง การทำให้ชีวิตคู่มีความสุขสงบ ล้วนเป็นความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานให้ 

อิสลามเป็นสังคมหนึ่งที่ยอมรับสิ่งต่างๆที่กล่าวมาว่า มันสามารถเป็นรูปธรรมได้ ดังนั้นปรัชญาของชีวิตคู่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญของศาสนา จึงเชิญชวนให้ประชาชนได้ถือปฏิบัติ เพื่อจะได้เกิดความจำเริญในชีวิต

เป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมที่ส่งเสริมเรื่องการสมรส และครองชีวิตคู่ก็ย่อมที่จะมีกฎระเบียบแบบแผนมากมาย จึงจะทำให้บรรดาเยาวชนอยู่ในสภาวะของผู้ที่สะอาด และบริสุทธิ์ โดยปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นคู่นั่นเอง  

  

 

Exit mobile version