บทนำ
ซูเราะฮ์อัล-มาอิดะฮ์ เป็นซูเราะฮ์ที่ประทานลงมา ณ เมืองมะดีนะฮ์ซึ่งประกอบด้วย 120 โองการ 2,804 คำ และ11,933 อักษร นักวิชาการสายอุลูมกุรอานกล่าวกันว่า ซูเราะฮ์นี้ถูกประทานลงมาหลังจากซูเราะฮ์ฟัฏฮ์ แต่ในบางรายงานได้บันทึกไว้ว่า ซูเราะฮ์มาอิดะฮ์ประทานในช่วงเทศกาลฮัจญ์ตุ้ลวิดาอ์ (ฮัจญ์อำลาของท่านนบี ซ.ล.) ระหว่างการเดินทางจากมักกะฮ์สู่มาดีนะฮ์ ทว่าตามลำดับเรียบเรียงของอัลกุรอานซูเราะฮ์นี้ ปรากฎอยู่ในลำดับที่ 5 ของซูเราะฮ์อัลกุรอานทั้งหมด
นามของซูเราะฮ์ “มาอิดะฮ์” หมายถึง “สำรับอาหาร” ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องราวการประทานสำรับอาหารจากฟากฟ้าสำหรับวงศ์วานของท่านศาสดาอีซา (อ) ซึ่งมีกล่าวไว้ในโองการที่ 114 ของซูเราะฮ์
ใจความโดยรวมของซูเราะฮ์อัล-มาอิดะฮ์ สาธยายถึงวิชาการเกี่ยวกับหลักการศรัทธาในอิสลาม รวมไปถึงภาระกิจหรือบัญญัติต่าง ๆ ที่ผู้ศรัทธาพึงจะต้องปฏิบัติ
ประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในซูเราะฮ์ อัล-มาอิดะฮ์
โองการสำคัญที่สุดในซูเราะฮ์ อัล-มาอิดะฮ์ คือโองการที่กล่าวถึงการแต่งตั้งท่านอาลี อามีรุ้ลมุอฺมินีน (อ) ครั้งเมื่อเดินทางกลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่านนบี (ซ.ล) พร้อมกับอุมมะฮ์ของท่าน ณ บ่อน้ำฆอดีรคุม ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวได้กล่าวเอาไว้ในโองการที่ 3 และโอการที่ 67 ของซูเราะฮ์นี้ และการบริจาคทานด้วยแหวนของท่าน อาลี อามีรุ้ลมุอฺมีนีน (อ) ขณะที่ท่านกำลังก้มลงรูกัวะอฺ (โค้งคาราวะ) ต่อพระองค์ ขณะที่ท่านทำนมาซ ในโองการที่ 55 ของซูเราะฮ์ดังกล่าว
โองการที่ 1
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَوْفُواْ بِالْعُقُودِ أُحِلَّتْ لَكُم بَهِيمَةُ الأَنْعَامِ إِلاَّ مَا يُتْلَى عَلَيْكُمْ غَيْرَ مُحِلِّي الصَّيْدِ وَأَنتُمْ حُرُمٌ إِنَّ اللّهَ يَحْكُمُ مَا يُرِيدُ (1)
คำแปล :
“โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงรักษาบรรดาสัญญาของพวกเจ้าเถิด สัตว์ประเภทปศุสัตว์นั้นได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว นอกจากสัตว์ที่ถูกสาธยายแก่พวกเจ้าเท่านั้น โดยมิใช่สัตว์ที่ถูกเจ้าล่าในขณะที่พวกเจ้าอยู่ในสภาพเอียะรอม แท้จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.)นั้นทรงชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์“ (1)
ขยายความ
จากการบันทึกของบรรดานักตัฟซีรเกี่ยวกับโองการนี้ซึ่งกล่าวไว้ว่า ซูเราะฮ์นี้เป็นซูเราะฮ์สุดท้ายที่ถูกประทานลงมายังท่านศาสดา (ซ.ล.) ซึ่งมีฮาดิษจากท่านอิม่ามบากิร (อ) รายงานจากท่านอาลี บุตรของอาบีฏอลิบ (อ) กล่าวว่า หลังจากซูเราะฮ์นี้ถูกประทานลงมา ท่านศาสดามีชีวิตอยู่อีกเพียงสองหรือสามเดือนเท่านั้น”.
เช่นเดียวกันได้มีบันทึกว่าซูเราะฮ์นี้เป็น “ซูเราะฮ์นาสิค” (ซูเราะฮ์ยกเลิกโองการก่อนหน้านี้) โดยมีรายงานบันทึกเป็นหลักฐานไว้ซึ่งเราได้กล่าวไปแล้วใน ซูเราะฮ์อัล-บากอเราะฮ์ โองการที่ 281) แต่อาจมีผู้สงสัยว่า ทำไมจึงมีรายงานว่าโองการสุดท้ายที่ถูกประทานลงมา ไม่ได้อยู่ในซูเราะฮ์นี้
ตอบ : แน่นอนถ้าหากเป็นเพียงโองการแล้วถูกต้อง โองการสุดท้ายไม่ใช่โองการในซูเราะฮ์นี้ แต่ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ คือซูเราะฮ์หาใช่โองการไม่เพราะซูเราะฮ์นี้เป็นซูเราะฮ์สุดท้ายไม่ใช่โองการสุดท้าย
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَوْفُواْ بِالْعُقُود…ِ
คำเตือนดังกล่าว เหมือนดั่งผู้กำลังจะออกเดินทาง และกำลังจะสั่งเสียถึงสิ่งสำคัญต่าง ๆ ฉะนั้นโองการนี้กำชับผู้ศรัทธาทั้งหลาย ให้ยึดมั่นบนสัญญาต่าง ๆ ที่ให้ไว้ ไม่ว่าสัญญานั้นจะเป็นประเภทใดก็ตาม
“الْعُقُود” ในหลักภาษาหมายถึง “การผูกระหว่างเชือกสองเส้น หรือ ระหว่างสองข้างเชือกให้ติดกัน” และคำว่า “العقد” ถูกนำมาใช้ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ที่จะทำสัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ใช่ว่าจะหมายถึงทุก ๆ คำมั่นสัญญาหรือข้อตกลงที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่มีหลักค้ำประกัน คำดังกล่าวให้ความหมายรวมไปถึงทุก ๆ คำสัญญา (ทั้งสองฝ่ายมีความจริงใจต่อกัน) ระหว่างมนุษย์ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม หรือระหว่างมนุษย์กับพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ในทุกเรื่องและการงาน
ในหนังสือรุฮุลมาอานี ได้คัดลอกจาก รอฆิบ : คำว่า “อักดฺ” (สัญญา ข้อตกลง) แบ่งออกเป็นสามระดับคือ
(ตัฟซีรรูฮุลมาอานี โองการดังกล่าว)
ประเด็นสำคัญ
“ในหมู่คำบัญญัติใช้ของพระเจ้า ไม่มีเรื่องใดเลยในทรรศนะของมนุษย์โลกที่จะมีความเห็นพ้องต้องกัน เว้นเสียแต่เรื่องของการรักษาคำสัญญา เพราะเหตุดังกล่าว ชนชาติอาหรับก่อนอิสลามพวกเขาจะเคร่งครัดต่อเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขารู้ถึงผลที่จะตามมาหากละเมิดต่อมัน”
อีกฮาดิษหนึ่งจากท่านอิม่ามอาลี (อ) ซึ่งกล่าวว่า
“พระองค์จะมิทรงยอมรับการกระทำใด ๆ เว้นเสียแต่ ความดีงาม และไม่ทรงรับข้อสัญญาใด ๆเว้นเสียแต่ข้อสัญญาที่ถูกรักษาตามเงื่อนไขของมัน”
จากท่านศาสดา (ซ.ล) :
“ไม่มีศาสนาสำหรับผู้ที่ไม่รักษาคำสัญญา”
จากท่านอิม่ามศอดิก (อ) :
“สามประการที่พระองค์ไม่อนุมัติให้ละเลยต่อมันอย่างเด็ดขาด“
อัลกุรอานยังได้กล่าวต่ออีกว่า
ُحِلَّتْ لَكُم بَهِيمَةُ الأَنْعَامِ إِلاَّ مَا يُتْلَى عَلَيْكُمْ غَيْرَ مُحِلِّي الصَّيْدِ وَأَنتُمْ حُرُمٌ…
(الأَنْعَامِ) เป็นคำพหูพจน์ ของคำว่า (نعم) “นิอัม” หมายถึง “อูฐ” แต่ถ้าคำดังกล่าวมาในรูปพหูพจน์ แปลว่าปศุสัตว์ (สัตว์สี่เท้า) เช่น อูฐ วัว แพะ… (بَهِيمَةُ ) แปลว่า “แข็งแรง ทนทาน” หรือสิ่งที่ “คลุมเครือ” สัตว์ถูกเรียกว่า “บะฮีมะฮ์” เพราะเสียงของมันไม่สามารถจะเข้าใจได้ (คลุมเครือ)
ฉะนั้น โองการนี้เป็นโองการที่สาธยายแก่บรรดาผู้ศรัทธาถึงสิ่งที่อนุมัติในการบริโภค และบรรดาสัตว์ที่ไม่ถือเป็นข้ออนุมัติซึ่งจะแจ้งให้ทราบในตอนต่อไป
إِلاَّ مَا يُتْلَى عَلَيْكُمْ…
โองการนี้นอกจากจะกล่าวถึงบทบัญญัติที่อนุมัติ และไม่อนุมัติในการบริโภคเนื้อสัตว์แล้วกล่าวถึงบัญญัติเกี่ยวกับผู้สวมชุดอิห์รอม เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์อีกด้วย ว่าไม่เป็นการอนุมัติแก่พวกเขาในการออกล่าสัตว์ และสัตว์ที่ได้มาจากกรณีดังกล่าวไม่เป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเขา
غَيْرَ مُحِلِّي الصَّيْدِ وَأَنتُمْ حُرُمٌ…
ตอนสุดท้ายของโองการดังกล่าวพระองค์ทรงกล่าวถึง ความรอบรู้ของพระองค์ กล่าวคือ บัญญัติต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นจากพระองค์ ล้วนมาจากความประสงค์ของพระองค์ทั้งสิ้น และความประสงค์ของพระองค์นั้นย่อมเกิดจากความปรีชาญานของพระองค์
إِنَّ اللّهَ يَحْكُمُ مَا يُرِيدُ
บทเรียนจากโองการ