อิสลามกับการเชิดชูเกียรติสตรี

           ในหน้าประวัตศาสตร์โลกได้มีเรื่องราวต่างๆมากมายที่ถูกกล่าวขานถึงสตรีเพศและจากหลายจุดของมุมโลก ต่างมีความคิดที่ผิดอย่างมหันต่อเธอ ดั่งเช่นเรื่องราวของชนชาติอาหรับในสมัยญาฮีลียะฮ์(ยุคอวิชา)เรื่องรางต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสตรีในยุคสมัยนั้นเป็นความเสื่อมทรามอย่างมากมายเหลือเกิน 

          บรรดาบุรุษของพวกเขาจะมีความคิดที่คล้ายคลึงกันว่าสตรี คือ ความอัปยศของพวกเขาสิ่งเลวร้ายต่างๆที่พวกเขาได้มอบให้กับสตรีช่างเป็นความโหดร้ายเหนือคำพรรณนา มาตรแม้นว่าเธอจะอยู่ในสถานะของภรรยาเธอจะถูกตีค่าเป็นแค่เครื่องสนองอารมณ์ทางเพศของสามีเท่านั้น ไม่ได้มีเกียรติอันใดในสายตาของเขาเลย อีกทั้งเธอยังจะถูกนับรวมกับทรัพย์สมบัติและมรดกโดยการตกไปเป็นภรรยาของลูกเลี้ยงตนเอง ตั้งแต่เธอถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้สิ่งแรกที่ทารกน้อยผู้น่ารักจะได้รับจากบิดา คือ ความโศกเศร้าเสียใจเนื่องจากการถือกำเนิดของเธอพวกเขาจะมีความเคร่งเครียดและรู้สึกอับอายต่อประชาชนเป็นอย่างมากและนี่คือของขวัญชิ้นแรกที่ผู้เป็นบิดาแห่งยุคโง่เขลาได้มอบให้กับบุตรีของตนเองและหนึ่งจากของขวัญที่เลวร้ายที่สุดจากพวกเขา คือ พวกเขาจะนำเอาสาวน้อยผู้น่ารักซึ่งเป็นบุตรีของตนเองไปฝังทั้งเป็นเพราะต้องการที่จะลบล้างความอัปยศอันนี้ เนื่องจากบุรุษในยุคนั้นมีความเชื่อกันว่าสตรีคือเพศที่ตกต่ำและอัปยศการกระทำเช่นนี้กลายเป็นเรื่องปกติในสายตาของพวกเขาและบรรดาสตรีในยุแห่งความเลวร้ายนี้ได้ถูกลิดรอนสิทธิต่างๆอย่างมากมายและสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเธอก็ยังคงถูกกระทำอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งการมาปรากฏของศาสนาอิสลาม

          เมื่อศาสนาอิสลามได้ปรากฏขึ้นในคาบสมุทรอาหรับซึ่งถือเป็นยุคที่เสื่อมโทรมมากในสมัยนั้นศาสนาที่เชิญชวนสู่การเคารพบูชาพระเจ้าเพียงองค์เดียวก็ได้ทำให้สตรีเพศซึ่งเปรียบเสมือนช่อดอกไม้อันงดงามที่ได้ถูกเหล่าบุรุษแห่งยุคญาฮีลียะฮ์เหยียบย่ำจมดินกลับมามีชีวิตและสวยงดงามอีกครั้งหนึ่ง

          ในการเริ่มต้นของศาสนาอิสลามท่านศาสดามูฮัมหมัด(ศ็อลฯ)ผู้นำศาสนาได้ทำลายการแบ่งชนชั้นวรรณะออกไปจากชาวอาหรับอีกทั้งท่านยังได้ทำการยกย่องเชิดชูเกียรติของสตรีท่านจะคอยสอนสั่งและลบล้างความคิดที่ผิดๆของพวกเขาต่อบรรดาสตรีออกไป ท่านศาสดาแห่งอิสลามไม่เพียงแต่ทำการอมรมสั่งสอนเท่านั้นแต่ท่านยังได้นำเสนอภาคปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ประชาชาติเนื่องจากผู้นำที่ดีนั้นจะต้องเป็นผู้นำที่กระทำในสิ่งที่ตนเองได้กล่าวสอนแก่ผู้อื่นก่อนจึงจะทำให้คำกล่าวสอนของตนเองเป็นคำกล่าวสอนที่ศักดิ์สิทธิ์และบังเกิดผล ด้วยเหตุนี้ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)จึงได้มอบของขวัญอันล้ำค่าให้แก่สตรีโดยการแสดงแบบฉบับให้ประชาชาติหรืออาหรับในสมัยนั้นได้เห็น ท่านได้แสดงการให้เกียรติต่อภรรยาและสตรีของท่านอย่างมากมาย และท่านหญิงฟาฏีมะ อัซซะฮ์รอ บุตรีสุดที่รักของท่านศาสดา สตรีท่านหนึ่งที่ถือกำเนิดในสภาพแวดล้อมของญาฮีลียะฮ์ในฐานะของศาสดา(ศ็อลฯ)ท่านได้ปฏิบัติเต็มที่ในการเป็นบิดาผู้ให้เกรียติแก่บุตรสาว และสามีผู้ให้เกรียติแก่ภรรยาอย่างเป็นรูปธรรมอันชัดแจ้ง จึงทำให้ศาสดาแห่งอิสลามประสบความสำเร็จและสามารถทำลายแนวความคิดที่ชนชาวอาหรับมีต่อบรรดาสตรี

          ศาสนาอิสลามได้แนะนำสตรีในฐานะและบทบาทที่สำคัญอย่างมากมายต่อสังคมมนุษย์อีกทั้งได้ทำการยกย่องและสรรเสริญเธอ และไม่มีศานาใดอีกแล้วในโลกนี้อีกแล้วที่จะทำการเชิดชูชื่นชมและให้เกียรติฐานันดรของสตรีได้เท่ากับศาสนาอิสลาม อิสลามได้ทำให้พวกเธอมีความเท่าเทียมกับบุรุษในความเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์และจะให้รายละเอียดในคำสอนแก่สตรีมากกว่าต่อบุรุษเสียอีก มักมีการสอนอยู่เสมอว่าความสำเร็จและชัยชนะของบุรุษนั้นเกิดจากสตรีผู้อยู่เบื้องหลังหรือที่เรียกกันว่าช้างเท่าหลังดั่งคำกล่าวของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฏ.)ที่ว่าจากอ้อมตักของสตรีทำให้บุรุษไปถึงเมี๊ยะรอจ(ตำแหน่งอันสูงส่ง)บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทุกๆความสำเร็จในสังคมโลกเกิดจากความสำเร็งของสตรีที่ประเสริฐ ในเมื่อมีคำกล่าวว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ให้เกียรติต่อสตรีเป็นอย่างมากเราจะมาดูถึงคำสอนอันล้ำค่าที่อิสลามสอนแก่สตรี ณ ที่นี้จะนำเสนอเพียง 3 ประการเท่านั้น

  1. บ้านสถานที่อันเหมาะสมกับสตรี ได้มีคำกล่าวสอนอันหน้าประทับใจจากบุตรีอันทรงเกียรติของท่านศาสดาว่าสตรีที่ประเสริฐที่สุดคือ “นางจะไม่มองบุรุษเพศและจะต้องไม่ให้บุรุษเพศมองนาง” คำกล่าวนี้ช่างเป็นคำสอนที่อมตะนิรันกาลเพราะสอดแทรกไปด้วยความละเอียดอ่อนและงดงามบ่งบอกถึงคุณค่าและเกียรติยศของบรรดาสตรี เพราะสถานที่เดียวที่จะสามารถปกป้องสตรีจากชายแปลกหน้าได้นั้นคือบ้านและบ้านนั้นคือสถานที่อันปลอดภัยที่สุด และการย่างก้าวออกจากบ้านคือการออกจากความปลอดภัยไปสู่อันตราย การออกจากบ้านโดยปราศจากความจำเป็นอีกทั้งการแต่งกายที่ไม่มิดชิดและรัดกุมของสตรีบางคนอาจสร้างความป่วยไข้ให้แก่หัวใจของบุรุษได้

          เนื่องจากว่าดวงตาเป็นไส้ศึกของหัวใจ ดังนั้นการที่เธอเป็นสื่อทำให้บุรุษเพศหันมามองและมีความคิดที่ไม่ดีงามเนื่องจากพฤติกรรมของเธอแล้วนั้นเท่ากับเธอได้ร่วมกระทำบาปอันนี้ด้วยเช่นเดียวกันหรือไม่การออกจากบ้านนี้แหละตัวของเธอเองอาจเป็นผู้ใช้สายตามองไปยังบุรุษเพศและเป็นที่มาเป็นการกระทำบาปอย่างใหญ่หลวงก็เป็นได้

2.ฮิญาบอาภรที่งดงาม การปกปิดเรือนร่างตามศาสนบัญญํติเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกให้กำชับให้ปฏิบัติใช้ในสตรีเรามีฮิญาบอยู่ใน 2 รูปแบบด้วยกัน คือ 

ฮิญาบภายนอก  ซึ่งจะถูกมองอยู่ในรูปลักษณะของผ้าคลุมศีรษะหรือการสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดการใส่ปลอกแขนและถุงเท้ารวมไปถึงการไม่แต่งหน้าออกจากบ้านของบรรดาสตรีซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ถือเป็นฮิญาบภายนอกอันเป็นวาญิบ(ต้องปฏิบัติ)ของมุสลิมะฮ์ทุกคนอยู่แล้ว 

ฮิญาบภายใน  ซึ่งจะไม่ใช่แค่เพียงการแต่งกายที่เรียบร้อยของบรรดาสตรีเพียงเท่านั้นแต่มันจะหมายรวมไปถึงการรักนวลสงวนตัวและอากัปกิริยาที่เหมาะสม  อีกทั้งยังเป็นการควบคุมอารมณ์ใฝ่ต่ำอีกด้วย

            ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วว่าสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับสตรี คือ บ้านแต่นั้นไม่ได้หมายความว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่จะกักขังสตรีให้อยู่แต่ภายในบ้าน ไม่ให้ออกมาสู่โลกภายนอกเลยเพียงแต่อิสลามไม่สนับสนุนให้สตรี ออกนอกบ้านโดยปราศจากความจำเป็นเพราะหน้าที่หลักของสตรีอันเป็นภาระกิจที่แท้จริงของนางมักจะอยู่ภายในบ้าน   และการจะออกไปนอกบ้านในลักษณะที่เธอปลอดภัยที่สุด และไม่ตกเป็นอาหารทางสายตาของบุรุษเพศนั้นเธอจะต้องมีฮิญาบภายนอกที่งดงามและฮิญาบภายในที่สำรวมสุขุมเพื่อเธอจะได้พ้นภัยคุกคามที่จ้องจะเข้าขย้ำเธอได้ในทุกรูปแบบเและฮิญาบก็เปรียบเสมือนวัคซีนป้องกันโรคอันร้ายแรงให้แก่สตรีอีกด้วย

            3.นอมะห์ร่อมบุคคลที่ไม่ควรสนทนา  นอมะห์ร่อมหรือบุรุษที่เราสามารถแต่งงานกับเขาได้นั่นเอง ซึ่งสตรีผู้มีศรัทธาจะต้องสงวนท่าทีเมื่อพบปะกับพวกเขา ท่านศาสดามีคำกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าหากมีความจำเป็นที่พวกเธอจะต้องสนทนากับบุรุษแล้วไซร้ ควรอย่าให้เกิน 5 คำ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแม้นแต่ในสิ่งที่จำเป็นนั้นก็ไม่ควรที่จะใช้ประโยคที่ยืดยาวนับประสาอะไรกับการพูดคุยทางโทรศัพท์ เกี่ยวพาราศีกันหรือการใช่สื่ออิเลคทรอนิคส์อื่นๆที่มันไม่ได้มีความจำเป็นแต่อย่างใด นอกจากเพื่อตามสนองความปรารถนาของตนเองเท่านั้น  เนื่องจากน้ำเสียงก็เป็นอีกหนึ่งไส้ศึกของหัวใจในบางครั้งความเลวร้ายก็เกิดจากน้ำเสียงได้เหมือนกัน เพราะบุรุษบางประเภทสามารถสำเร็จความใคร่ได้ด้วยกับน้ำเสียงของสตรี แต่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าอิสลามห้ามหรือบีบบังคับสตรีไม่อนุญาตให้สนทนากับบุรุษเลย แต่อิสลามนั้นได้สอนว่าการสนทนากับบุรุษนั้นจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ

หากสตรีท่านใดประสงค์ที่จะใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลและไพเราะกับเพศตรงข้ามอิสลามก็สนับสนุนเป็นอย่างมากให้เธอกระทำสิ่งเหล่านี้ไปกับผู้ที่เป็นสามีของเธอเองเท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่มักจะถูกมองข้ามและได้รับการปฏิบัติที่ตรงข้ามคือ เมื่อพูดคุยกับสามีจะใช้นำเสียงที่แข็งก้าวร้าวแต่กับอ่อนโยนกับชายอื่นแทนการแสดงความรักและการเอาใจใส่ต่อสามีเป็นสิ่งที่อิสลามได้กำชับอย่างมากแก่ภรรยาทั้งหลายแต่ในศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้สตรีนำคำพูดและการกระทำเหล่านี้ไปใช้บุรุษทั่วๆไปเพราะนั่นจะทำให้ตัวของเธอเองถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไร่ค่าก็เป็นได้

           และสิ่งต่างๆที่ศาสนาอิสลามได้สั่งสอนนั้นเป็นประโยชน์อันงดงามอย่างมาก สิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้าว่าสตรีใด สังคมใด ได้นำไปปฏิบัติจะทำให้ตัวของเธอเอง ครอบครัวของเธอ และสังคมที่พวกเธออาศัยอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยความดีงามและความประเสริฐคณนานับจะทำให้สังคมที่เคยสกปรกกลับมาสะอาดและบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่งและผลที่ได้รับอีกประการหนึ่งคือ อัตราอาชญากรต่างๆ อันมีต้นเหตุมาจากการไม่มีฮิญาบของสตรีลดน้อยลงหรือหมดไปจากสังคม และนี้ก็เป็นเพียงคำสอนบางประการที่ถูกหยิบยกมาเพียงน้อยนิดเท่านั้นของ ศาสนาอิสลาม

Exit mobile version